วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

วิธีตั้งเบรคจักรยาน

วิธีตั้งผ้าเบรคที่ถูกต้องคือ

      1. เว้นระยะขอบบนของผ้าเบรคให้ต่ำกว่าขอบล้อ 1-2 มม. ตลอดทั้งแนว
      2. ตั้งให้ผ้าเบรคด้านหน้า(ของตัวรถ)จับขอบล้อก่อนนิดหน่อย ตั้งได้โดยหาชิมหรือเศษกระดาษ
พับกันหนาซักครึ่งมิลฯรองที่ผ้าเบรคด้านท้าย แล้วจึงบีบก้ามเบรค จากนั้นจึงล็อคผ้าเบรคครับ
*วิธีนี้เป็นวิธีที่ถูก ต้องในการตั้งองศาของผ้าเบรค จะมีผลมากกับรถเสือภูเขา ถ้าไม่ได้ตั้งอาจทำให้เกิดเสียงดังน่ารำคาญ และลดทอนประสิทธิภาพของผ้าเบรคไป แต่เสือหมอบนี้จะเห็นผลไม่ค่อยชัดเจนครับ ถ้ามักง่ายก็แค่คลายน็อตล็อกผ้าเบรค-กำมือเบรคพอให้ผ้าเบรคจับขอบล้อ-จัด ระเบียบให้ขอบบนของผ้าเบรคต่ำกว่าและขนานกับขอบล้อ-กำมือเบรคให้แน่น-ล็อค น๊อต เป็นอันจบครับ
  3.ตรวจสอบและปรับตั้งให้ผ้าเบรคสองข้างจับขอบล้อพร้อมกัน ก้ามเบรครุ่นดีๆจะมีตัวตั้ง ใช้หกเหลี่ยม(บางรุ่นใช้ไขควง)ลองขันดูแล้วสังเกตุความเปลี่ยนแปลงครับ ถ้ารุ่นถูก(หรือรุ่นเน้นเบาเช่นโทเค่น,ซีโร่ฯ)อาจต้องปรับที่น๊อตล็อคก้าม เบรคกับตัวเฟรมครับ ใจเย็นๆ ค่อยๆทำ
    4.ปรับความตึงของสายเบรค เพื่อให้มือเบรคสองข้างใช้แรงในการบีบเท่ากัน หรือแล้วแต่ความชอบครับ

     เนื่องจาก ก้ามเบรค มันมันวางตัวอยู่บนจุดหมุน และมันต้องขยับเข้าออกได้คล่องตัว มันจะมีการให้ตัวได้นิดๆ เมื่อเราบีบเบรคให้ ทำงาน ผ้าเบรคสัมพัสกับขอบล้อ จะเกิดแรงฝืดที่หน้าสัมผัส
ริมล้อจะพยายาม ดึงผ้าเบรค ให้วิ่งไปข้างหน้าเมื่อมันดึงผ้าเบรคไปข้างหน้า มันก็จะดึงก้ามเบรค ที่ฝักเบรคติดตั้งอยู่ ให้ขยับเดินหน้าไปด้วย ส่วนท้ายของผ้าเบรค ก็จะแนบเข้าไป เองโดย อัตโนมัต
ถ้าก้ามเบรค มีจุดหมุนที่แน่น และแข็งแรงมาก ขยับตัวได้น้อย ก็ตั้ง โท-อิน ให้หลัง ผายออกแค่เล็กน้อย สัก 1มิลก็พอถ้า ก้ามเบรค มีจุดหมุน ที่ไม่แข็งแรง หลวมคลอน ให้ตัวได้มาก อาจจะตัองตั้ง โท-อิน ให้ด้านหลัง ผายออกที 2มิล 3มิล อยุ่ที่ว่า ก้ามเบรคโยกคลอนหลวมแค่ไหนทำความเข้าใจโดย ลองบีบเบรค โดยแรงสัก 20%-30% แล้วดันรถไปข้างหน้า จะเห็นการขยับตัวของ ก้ามเบรค และการเปลี่ยนมุมของ หน้าสัมพัส ผ้าเบรค กับขอบล้อ

วิธีดูแลรักษาจักรยาน (แบบง่าย ๆ ครับ)

ทุกครั้งก่อนถีบ..(ควรฝึกให้เป็นนิสัย)
1.ตรวจลมยาง
2.ตรวจก้านปลดของก้ามเบรค(รถถนน)
3.ทดลองบีบก้ามเบรค
4.ตรวจศูนย์ล้อและก้านปลด
5.กระแทกรถกับพื้นสองสามครั้งเพื่อฟังเสียงที่ผิดปกติ

..ทุกครั้งหลังถีบ..
1.เช็ดอานให้แห้ง
2.แกะเอาสิ่งแปลกปลอมออกจากยาง
3.เช็ดโซ่ให้แห้งสะอาด ถ้าลุยน้ำมาพ่นน้ำยาพวกWD40 เอาไว้บางๆก่อน
4.ล้างน้ำถ้ารถสกปรกมาก(อย่าฉีดน้ำแรงๆเข้าไปในจุดหมุนทุกจุด)กระแทกรถให้สะเด็ดน้ำและเช็ดให้แห้ง เก็บรถในที่แห้ง

..ทุก ๆ เดือน(หรือบ่อยขึ้นถ้าใช้งานมาก)...

1.เช็ดด้วยผ้ายกเว้นบริเวณแบริ่งของดุมล้อ
2.ตรวจดูรอยร้าวบริเวณตัวถัง,วงล้อและขาบันได
3.เอาขาหนีบล้อหน้าเอาไว้แล้วลองบิดแฮนด์ดูว่าคอหลวมหรือเปล่า
4.ล้างโซ่และหยอดน้ำมันโซ่
5.เช็ดทำความสะอาดชุดเฟืองหลัง
6.เช็ดทำความสะอาดใบจาน
7.หล่อลื่นจุดหมุนของชุดเปลี่ยนเกียร์
8.หล่อลื่นจุดหมุนของชุดเบรค
9.ตรวจความตึงของน้อตยึดขาจาน
10.ตรวจความตึงของน้อตยึดเบรคและผ้าเบรค
11.ตรวจความตึงของซี่ลวด
12.ตรวจสายเคเบิลต่างๆ
13.ตรวจความกลมของล้อ
14.ตรวจความสึกหรอของเฟืองหลัง,โซ่,จานหน้า..เปลี่ยนใหม่ถ้าพบว่าสึกหรอมาก
15.เช็ดขอบล้อและหน้าผ้าเบรคด้วยแอลกอฮอล์
16.ตรวจเช็คชุดถ้วยคอ

..ทุก ๆ 6เดือน..
1.ตรวจและปรับตั้งดุมล้อ
2.ตรวจและปรับตั้งลูกปืนบันไดถีบ
3.ตรวจและปรับตั้งกระโหลก
4.ตรวจสนิมในชุดคอ
5.ตรวจสนิมในหลักอานและท่อนั่ง ทำความสะอาดแล้วเคลือบจารบี
6.ตรวจทำความสะอาดและหล่อลื่นสายเกียร์และเบรค เปลี่ยนใหม่ถ้าฉีกขาดหรือขึ้นสนิม

..ทุก ๆ ปี..
1.อัดจารบีและเปลี่ยนลูกปืนบันได
2.อัดจารบีและเปลี่ยนลูกปืนดุมล้อ
3.อัดจารบีถ้วยคอ(เปลี่ยนลูกปืนถ้าสึกหรอมาก)
4.อัดจารบีชุดกระโหลก(เปลี่ยนลูกปืนถ้าสึกหรอมาก)
5.ตรวจศูนย์ตัวถัง ถ้าบิดเบี้ยวส่งไปทำที่ร้าน
6.เคลือบแว็กซ์ตัวถัง

เสือภูเขา (Mountain Bike)

         เป็นจักรยานเสือภูเขาที่สามารถขี่ไปได้ทุกที่ไม่ว่าจะเป็นถนนธรรมดาหรือทางทุรกันดาร จึงเป็นจักรยานที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการเดินทางท่องเที่ยว
เสือภูเขาได้ทำให้โฉมหน้าทาง การท่องเที่ยวและคมนาคมในเมืองหลาย ๆ ประเทศ เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ไปได้อย่างไม่น่าเชื่อว่าจักรยานคันเล็ก ๆ จะทำได้ถึงขนาดนี้

ลักษณะเฉพาะของเสือภูเขา คือ ความแข็งแกร่งของระบบโครงสร้าง การผ่อนแรงของระบบเกียร์ทดซึ่งมีมาก ถึง 24 เกียร์ การหยุดฉับพลันของระบบเบรค และความสามารถในการตะลุยทางยากลำบากของระบบล้อ ยาง และเกียร์ ทำให้การเดินทางด้วยเสือภูเขาสามารถบุกบั่นไปได้ทุกที่ เป็นการเดินทางที่แม้จะเหนื่อยหนักแต่ก็สนุกสนาน
การขับขี่เสือภูเขา


เช่นเดียวกับจักรยานทั่วไป เพียงแต่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติมในระบบที่เพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย ได้แก่

1. แฮนด์ บังคับแฮนด์ด้วย 2 มือ ให้ตรงทางอยู่เสมอ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น บังคับแฮนด์ให้ไปในทิศทางที่ถูก ต้องไว้ เพียงเท่านี้เสือภูเขาก็จะพาคุณหลบเลี่ยงจากอันตรายทุกสถานการณ์ไปได้
2. เบรค เมื่อต้องการหยุด กดเบรคล้อหลังก่อนล้อหน้าเสมอ ถ้าเป็นทางลงชันควรกดเบรคแล้วปล่อย กดแล้ว ปล่อย อย่างสม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้ความเร็วขึ้นสูงจนควบคุมไม่ได้
3. ระบบเกียร์ทด เริ่มเคลื่อนที่ด้วยจานหน้าจานหลังตัวกลางอยู่เสมอ จากนั้นทดลองเปลี่ยนเกียร์จานหลังขึ้น หรือลง เพื่อทดสอบน้ำหนักการถีบที่เหมาะกับตนเอง ในการทดสอบจักรยานก่อนการเดินทาง ทดลอง เปลี่ยนเกียร์อยู่เสมอ เพื่อหาน้ำหนักเกียร์ที่ตัวเองถนัด จำไว้เสมอว่า ผู้ใช้จักรยานแต่ละคนจะใช้เกียร์ไม ่เหมือนกันตามแต่กำลังกายของแต่ละคน
ราคาและสถานที่หาซื้อ

เนื่องจากปัจจุบันนี้ จักรยานเสือภูเขาเริ่มเป็นที่รู้จักของบุคคลทั่วไปกว้างขวางขึ้นทุกขณะ จึงมีแหล่งขาย จักรยานเสือภูเขาอยู่หลายแห่ง หลายระดับราคาด้วยกัน เสือภูเขาที่นับว่า ใช้ได้ มีความคงทน สามารถใช้เดินทางไกล ในเส้นทาง ทุรกันดารได้ดี ราคา ประมาณตั้งแต่เก้าพันบาทขึ้นไปจนถึงนับแสนบาทยิ่งราคาแพงยิ่งมีคุณสมบัติ ดีมากขึ้นตามลำดับ หาซื้อได้ตามร้านจักรยานทั่วไป ข้อสังเกต ร้านจักรยาน ที่ดีที่ควรเลือกซื้อ ควรมีการบริการหลังการขายประเภทการซ่อมบำรุงที่ดี เพราะจักรยานเป็นพาหนะ ที่จำเป็นต้องมีการปรับแต่งอยู่เสมอ สำหรับ แหล่งขาย ที่สามารถหาซื้อได้ เช่น
1. ร้าน BIKE SHOP ถนนศรีอยุธยา โทร. (02) 247-7220
2. บริษัท เมจิไซเคิล มาร์เก็ตติ้ง ตู้ ปณ. 18 ปณ.อ้อมใหญ่ จ.นครปฐม 73160 โทร. (02) 812-6682-3
3. ร้าน PRO BIKE จำหน่ายและซ่อมจักรยานเสือภูเขา โทร. (02) 253-3384, 254-1077 (www.probike.co.th) ร้านจักรยานย่านวรจักร มีจักรยานเสือภูเขาขายอยู่หลายร้าน
4. ตามแผนกจักรยานของห้างสรรพสินค้าบางแห่ง และร้านค้าจักรยานทั่วไป

วิธีเลือกซื้อจักรยานเสือหมอบ?

       1. ต้องถามตัวเองก่อนว่า จะซื้อจักรยานเสือหมอบไปเพื่ออะไร เพื่อขี่ให้ได้สุขภาพดี เพื่อเป็นพื้นฐานของกีฬาอื่น ๆ เพื่อมุ่งมั่นจะเป็นนักกีฬา เพื่อลงแข่งขัน เพื่อความมัน ความสนุก เพื่อแก้เครียด เพื่อความเท่ หรือตามเพื่อน ๆ
       2. ถ้าตอบในข้อแรก ได้ก็โอเค ชอบแบบไหน ชอบทางออฟโรด ชอบทางเรียบ ชอบขึ้นเขา ชอบทางราบ ชอบถนนในเมือง ชอบถนนในหมู่บ้าน

      ถ้าชอบถนนในเมืองหรือในหมู่บ้าน ก็ไม่ต้องลงทุนมาก รถจ่ายตลาดก็พอ ถ้าชอบทางออฟโรด แบบที่พวกเราชอบกันอยู่ ก็เลือก เมาเท่นไบค์ ชอบทางเรียบก็เลือก โรดไบค์

      3. เวลาและความมุ่งมั่น แน่นอน ต้องเจียดเวลามาให้กับจักรยาน บางส่วนก็ต้องเบียดเบียนมาจากเวลาอื่น ๆ เราสามารถจัดการได้และทำใจได้ไหม ถ้าได้ ก็อยู่ที่ความมุ่งมั่น หรือ Commitment เพราะถ้าจะให้ได้ประโยชน์เต็มที่ ต้องอาศัย Strong Commitment และให้เวลาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 วัน วันละประมาณ 1 ชั่วโมง
      4. งบประมาณ เรื่องใหญ่มาก ถ้าเลือกซื้อให้ถูกวิธี รถราคาระดับหมื่น ก็ใช้งานได้ทนทาน และดีไม่แพ้รถราคาระดับแสน โดยเฉพาะถ้าเพิ่งเริ่ม จะไม่เห็นความแตกต่าง จนเมื่อกำลังและทักษะ พัฒนาสูงขึ้น ถึงจะแยกแยะออก อย่างน้อยควรมีประมาณหมื่นต้น ๆ ราคารถใกล้ ๆ หมื่น ปัจจุบันราคาลดลงมามากแล้ว เมื่อก่อนรถอย่างเดียวก็ต้องเริ่มต้นที่หมื่นสาม ที่เหลือเป็น หมวกประมาณ พันต้น ๆ ต่ำกว่าไม่แนะนำ เพราะไม่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัย และน้ำหนักมากทำให้ปวดหัว กางเกงและถุงมือ อีกประมาณพันครึ่ง ถึงเกือบสองพัน แล้วแต่รสนิยม กางเกงจำเป็นเพราะมีแผ่นชามัวร์หรือใยสังเคราะห์รองป้องกันการกระแทกเสียดสี ถุงมือเอาไว้กันกระแทกกับแฮนด์ ถ้าพลาดล้มขึ้นมาก็จะป้องกันมือจากการบาดเจ็บ หรือช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้ เสื้อยังไม่จำเป็น ใช้เสื้อยืดไปก่อนได้

       ทั้งสี่ข้อเป็นคำถามให้ถามใจตัวเอง ต่อไปเป็นความเหมาะสมของแต่ละท่าน ว่าสมควรจะใช้รถแบบไหนดี ลองอ่านเกี่ยวกับประเภทรถดูแล้วตัดสินใจเอาเองนะว่าแบบไหนเหมาะที่สุด

       เทรคคอร์ปอเรชั่น (TREK Corporation) ซึ่งเปรียบเสมือนโตโยต้าของจักรยาน เพราะผลิตจักรยานตั้งแต่สำหรับเด็กเล็ก ๆ ไปจนถึง Madone จักรยานเสือหมอบซึ่งออกแบบในอุโมงลม ให้แลนซ์ อาร์มสตรอง ปั่นจนเป็นแชมป์ ตูร์ เดอ ฟรอง ถึง 6 สมัยซ้อน ได้ระบุไว้ในเวปไซท์ ( www.trekbikes.com ) ของเขา โดยแบ่งรถจักรยานเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ 5 กลุ่ม คือ
       1. Road สำหรับทางเรียบ Mountain สำหรับออฟโรด
       2. City & Bike Path สำหรับใช้ในเมือง ในหมู่บ้าน หรือในบ้านเมืองที่มีเลนจักรยาน
       3. Special Bikes รถที่ออกแบบ สำหรับความต้องการพิเศษ
       4. Kids & BMX จักรยานสำหรับเด็ก ๆ
       5. WSD Woman Specific Design รถจักรยานที่ออกแบบสำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะ.....

วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ส่วนประกอบต่างๆของจักรยาน

    ในจักรยานหนึ่งคันประกอบไปด้วยชิ้นส่วนต่าง ๆ มากมายหลายชิ้น จนทำให้นักปั่นมือใหม่สงสัยว่ามันมีอะไรกันบ้างแล้วมันมีชื่อเรียกว่าอะไร วันนี้ผมจึงขอนำเสนอรูปภาพแนะนำชิ้นส่วนของรถจักรยานแต่ละชิ้นว่ามันมีอะไรบ้าง?



ประวัติจักรยานโบราณในประเทศไทย


ประวัติ ความเป็นมา จักรยาน

        รถจักรยาน เป็นพาหนะทางบกที่ขับเคลื่อนไปโดยกำลังของกล้ามเนื้อมนุษย์ รถจักรยานนอกจากจะต้องเบา ก็จะต้องมีความฝืดที่เกิดขึ้นระหว่าง ล้อกับพื้นดินน้อยที่สุด และอาจจะเพิ่มความเร็วให้มากขึ้นได้พอสมควร
      ก่อนคริสต์ศักราช 2300 ปี ชาวจีนได้ประดิษฐ์ยานพาหนะทางบกที่มีลักษณะคล้ายรถจักรยานขึ้น และต่อมาชาวอียิปต์ และอินเดียก็ได้ประดิษฐ์ขึ้นเช่นเดียว กันแต่ไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะรูปร่าง
      ในปี ค.ศ. 1790 ชาวฝรั่งเศษชื่อ Count Mede de Sivrac ได้ประดิษฐ์ยานพาหนะคล้ายรถจักรยาน ประกอบด้วยล้อ 2 ล้อ เชื่อมกันด้วยไม้ ทำเป็นรูป คล้ายหลังม้า หรือหลังสัตว์ต่างๆ และเคลื่นที่ไปข้างหน้าด้วยการไสด้วยเท้า ใช้ชื่อยานพาหนะนี้ว่า Celerifere หรือ Velocifere มาจากภาษาลาติน Cefer แปลว่า เร็ว และ Fere แปลว่า บรรทุก
      ต่อมาในระหว่างปี ค.ศ. 1816 - 1818 Baron Karl Friedrich von drais de Sauerbrun ชาวเยอรมันได้ปรับปรุง Celerifere ด้วยการเพิ่มอุปกรณ์ สำหรับบังคับทิศทาง และมีที่นั่งที่มีสปริง และถือว่าเป็นรถจักรยานคันแรก ของโลก
      ในฝรั่งเศษ ได้นำมาใช้ และให้ชื่อว่า Draiseinne เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ที่ได้ ประดิษฐ์ขึ้น ศาสตราจารย์ David Gordon Wilson แห่ง MIT ได้กล่าวว่า von Drais เป็นผู้ประดิษฐ์จักรยานคันแรกของโลกสำหรับในอังกฤษ ไม่เห็นด้วยกับชื่อที่ฝรั่งเศษได้ตั้งขึ้น และตั้งชื่อใหม่ว่า "Hobby horse หรือ Danny horse" ในปี ค.ศ. 1820 von Drais ได้ทำสถิติขึ้นเป็นครั้งแรกในประวิติศาสตร์ของรถจักรยาน โดยขี่ระหว่างเมือง Beaume กับเมือง Dijon ด้วยความเร็ว ชั่วโมงละ 15 กิโลเมตร
      ในปี ค.ศ. 1821 นักประดิษฐ์ชาวอังกฤษ ชื่อ นาย Louis Gompertz ได้ปรับปรุง Draisienne โดยใส่เกียร์และสลักที่ล้อหน้า แต่ยังคงใช้เท้าไสไปบนพื้น ถ้า ใครที่ขาแข็งแรงดีก็สามารถทำความเร็วได้ 16 - 22 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
      ต่อมาในปี ค.ศ. 1839 Kirkpatrick MacMillan ช่างทำเกือกม้าชาวสกอตซ์ ได้เปลี่ยน hobby horse มาเป็นรถจักรยาน โดยเลิกการใช้เท้าไสไปบนพื้นดิน และใส่ก้านบันไดที่ล้อหน้าผู้ขี่จะปั่นลูกบันไดและบังคับตัวรถโดยเท้าไม่ ต้องแตะพื้นดิน ทำให้มีรูปร่างคล้ายรถจักรยานมากขึ้น
      ในปี ค.ศ. 1860 สองพี่น้อง Pirre และ Ernest Michaux ชาวฝรั่งเศษ ได้ประดิษฐ์รถจักรยานที่มีล้อหน้าและล้อหลังเกือบเท่ากัน และใช้ กำลังขับเคลื่อนโดยการติดตั้งก้านบันไดที่ดุมล้อหน้า เรียกว่า Velocipede
      Pierre Lallement ซึ่งแยกตัวออกจากครอบครัว Michaux และได้ต่อ Velocipede ขึ้น และได้รับความนิยมมาก ชาวอเมริกัน ให้ฉายาว่า boneshaker
      ต่อมาถึงช่วงของผู้ประดิษฐ์ ยอดเยี่ยมชาวอังกฤษชื่อ James Starley ได้ปรับปรุงตามแบบ boneshaker ของ Michaux และภายหลังได้รับ ความสำเร็จในการประดิษฐ์รถจักรยานที่เรียกว่า "Penny Farthing" (เหรียญบาท กับเหรียญสลึง) คือล้อหน้าเหมือนเหรียญ เพ็นนีของอังกฤษ และล้อหลังเล็กเหมือนเหรียญฟาร์ทิง
      เนื่องจากรถจักรยานเหรียญบาท และเหรียญสลึงค่อนข้างอันตราย ในปี 1879 H.J. Lawson ได้ประดิษฐ์รถจักรยานนิรภัย ขับเคลื่อนล้อหลัง แต่ไม่ได้ประดิษฐ์สู่ตลาด ต่อมาในปี ค.ศ.1884 James Starly ได้ประดิษฐ์ รถจักรยานแบบนิรภัย ซึ่ง ประกอบด้วยล้อหน้าและล้อหลังเท่ากัน และโซ่โยงไปกับล้อหลัง
      ในปี ค.ศ. 1880 Humber และคณะได้ผลิตรถจักรยานตัวถังเป็นรูปขนมเปียกปูน ซึ่งเป็นแบบอย่างของจักรยานสมัยปัจจุบันนี้
     ในปี ค.ศ. 1984 การแข่งขันจักรยานยนต์ในกีฬาโอลิมปิก สหรัฐอเมริกา ได้มีการวิวัฒนาการจักรยานมากที่สุด ตัวถังรถจักรยานเปลี่ยนจากสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน เป็นรูปสามเหลี่ยม ให้กับทีมจักรยานแบบทีมเปอร์ซูทของสหรัฐฯ ใช้ในการแข่งขัน กีฬาโอลิมปิก ความจริงการวิวัฒนาการนี้มิได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก มอนเต้ แห่งศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬาของอิตาลี ได้ประดิษฐ์จักรยานรูปสามเหลี่ยมให้ ฟรังเดสโก้ โมเชอร์ เวลา 60 นาที สามารถขี่ได้ระยะทาง 50.644 กม. ที่สนาม ในร่มเมืองสตุตการ์ท เยอรมันตะวันตก
      จักรยานเข้ามาแพร่หลายในประเทศไทยในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการประชุมรถจักรยานเป็นครั้งแรกที่วังบูรพาภิรมย์ เนื่องในโอกาส ที่กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถเสด็จกลับจากยุโรป พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จ พระราชดำเนิน เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ.2442
      ในปัจจุบันมีจักรยานหลายชนิด มีตั้งแต่ 1 ล้อ ไปจนถึงหลายล้อ หรือจักรยานที่มีการดัดแปลงแบบแปลกๆ เช่น มีล้อหน้าใหญ่ แต่ล้อหลังเล็ก จักรยานยัง เป็นเครื่องมือในการแข่งขันกีฬาประเภทหนึ่งด้วย
      วันที่ 22 กันยายน และทุกวันอาทิตย์ตลอดเดือนกันยายนเป็นวันปลอดรถ (Car Free Day) มีการรณรงค์ ให้ประชาชน ลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล หันมาใช้รถจักรยาน เพื่อรถมลภาวะ และรักษาสิ่งแวดล้อมโลก